Netflix เผยเบื้องหลัง ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง (Thai Cave Rescue) หลังทะยานติดอันดับ Netflix Top 10 Global ด้วยยอดชม 13.4 ล้านชั่วโมงภายในสัปดาห์แรก
หลังเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ลิมิเต็ดซีรีส์ ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง (Thai Cave Rescue) ได้ทะยานสู่อันดับ 8 บน Top 10 หมวดรายการทีวีภาษาต่างประเทศทั่วโลก ของ Netflix ในสัปดาห์แรกแล้วเรียบร้อย ด้วยจำนวนการเข้าชม 13.4 ล้านชั่วโมง พ่วงด้วยการขึ้นครองอันดับ 1 บนชาร์ต Top 10 ของ Netflix ประเทศไทย รวมถึงชาร์ต Top 10 ในอีกห้าประเทศ ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย มัลดีฟส์ ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ และมีแนวโน้มว่ากระแสจะยังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกว่าจะมาเป็นลิมิเต็ดซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวของปฏิบัติการกู้ชีพถ้ำหลวงอย่างรอบด้าน และสามารถนำเสนอมุมมองใหม่ที่ยังไม่เคยเผยที่ไหนมาก่อนเรื่องนี้ แน่นอนว่าทีมผู้สร้างต้องเตรียมงานกันอย่างหนัก เพื่อความสมบูรณ์แบบ Netflix จึงพร้อมพาผู้ชมไปพบกับบางส่วนของเบื้องหลังการทำงาน โดยเฉพาะการจำลองฉากภายในถ้ำหลวง และการถ่ายฉากใต้น้ำ ที่ใช้ทั้งเวลาและความละเอียดเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวให้ออกมาสมจริงที่สุดผ่านวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายทำที่ปล่อยให้ได้รับชมกันแล้ววันนี้
แน่นอนว่าไฮไลต์ของลิมิเต็ดซีรีส์ ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง (Thai Cave Rescue) คือการจำลองฉากภายในของถ้ำหลวง ที่ทีมงานใช้เทคโนโลยี Lidar Scan ในการสแกนถ้ำและทำโมเดลในคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาเป็นแบบในการสร้างฉากจำลองในสตูดิโอ และใช้เวลาถึงราว 3 สัปดาห์ในการสแกนเก็บข้อมูลในแต่ละโถงของถ้ำ ซึ่งการเดินทางจากปากถ้ำเข้าไปในตัวถ้ำเพื่อเก็บข้อมูลนั้นก็สมบุกสมบันไม่น้อย โดยทีมงานต้องทั้งปีนและคลานเข้าไปในถ้ำ ซึ่งกว่าจะเดินทางถึงโถง 9 ซึ่งเป็นบริเวณที่สมาชิกทีมหมูป่าอะคาเดมีติดอยู่นั้นก็ใช้เวลานานถึง 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว
อนุสรณ์ มุสิกะบุตร ผู้กำกับศิลป์ของลิมิเต็ดซีรีส์ ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง (Thai Cave Rescue) กล่าวว่า “ความท้าทายสำหรับทีมงานฝ่ายศิลป์คือการต้องไปสัมผัสและสำรวจสถานที่จริง และเอาส่วนนั้นกลับมาทำต่อในสตูดิโอ เรามีการทดลองใช้วัสดุที่หลากหลายในการสร้างฉาก เพื่อให้สมจริงและสามารถตั้งอยู่ในสตูดิโอได้ รวมถึงต้องสามารถมีช่องให้ทีมงานเข้าไปถ่ายทำได้ มีช่องสำหรับแสง มีน้ำ และต้องปลอดภัยสำหรับทีมงานด้วย โดยระหว่างการถ่ายทำนั้นจะต้องมีน้ำที่ไหลลงมาจากด้านข้าง น้ำหยดจากด้านบน และมีคลื่นน้ำ เราจึงต้องสร้างระบบน้ำและระบบบ่อ เพื่อให้มีทางระบายน้ำออกเมื่อน้ำล้นด้วย”
อีกความยากหนึ่งของการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้คือการถ่ายทำฉากใต้น้ำ โดยนักแสดงที่มีฉากดำน้ำในเรื่องนี้ต้องเข้ารับการฝึกดำน้ำทุกคน ไม่ว่าแต่ละคนจะมีประสบการณ์ในการดำน้ำมาก่อนแค่ไหนก็ตาม เพราะการดำน้ำในพื้นที่แคบๆ นั้นแตกต่างจากการดำน้ำแบบทั่วไป รวมถึงยังมีการฝึกดำน้ำโดยที่ต้องพาคนอีกคนดำน้ำทะลุผ่านช่องแคบๆ ออกไปด้วยกันอีกด้วย ซึ่งนอกจากความยากในส่วนของนักแสดงแล้ว งานด้านภาพและการกำกับการถ่ายฉากใต้น้ำก็มีความท้าทายเช่นเดียวกัน
ปีเตอร์ ซุคคารินี ผู้กำกับภาพใต้น้ำ อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถ่ายทำว่า “ความพิเศษของฉากใต้น้ำคือการที่ทีมงานสร้างฉากเป็นชิ้นส่วนแยกกันให้สามารถนำมาประกอบเป็นส่วนต่างๆ ของถ้ำได้ โดยทุกอย่างถูกสร้างอยู่ในแท็งก์น้ำเดียวกัน แต่ความท้าทายอย่างมากในการกำกับฉากใต้น้ำ คือความลำบากในการสื่อสาร เราจึงต้องมีลำโพงที่ช่วยให้ส่งเสียงใต้น้ำได้
สำหรับฉากที่มีความตื่นเต้นในการถ่ายอย่างฉากที่นักดำน้ำต้องลอดผ่านอุโมงค์ที่แคบมากๆ ในถ้ำ เราต้องนำกล้องไปจ่อตรงหน้านักแสดงเลย เพราะฉะนั้นกล้องจะอยู่ห่างจากหน้ากากดำน้ำของนักแสดงเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น เพื่อถ่ายทอดให้เห็นถึงความยากลำบากของพวกเขาจริงๆ นอกจากนี้ เรายังใช้เทคนิกอื่นๆ อีกมากมายในการสร้างกระแสน้ำด้วย เนื่องจากเราต้องการกระแสน้ำที่ไหลแรงมากในบางฉาก เพราะอยากให้ตัวนักแสดงเองได้พบกับความท้าทายเหมือนในเหตุการณ์จริง”
และนี่คือบางส่วนของความทุ่มเทของทีมงานเบื้องหลัง เพื่อสร้างสรรค์ลิมิเต็ดซีรีส์ ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง (Thai Cave Rescue) ให้ออกมาสวยงามและสมจริง หากใครยังไม่จุใจกับเรื่องราวเบื้องหลังการถ่ายทำ สามารถไปรับชมวิดีโอเบื้องหลังเต็มๆ ได้ทาง YouTube และ Facebook ของ Netflix Thailand และติดตามรับชมเรื่องราวของปฏิบัติการกู้ชีพถ้ำหลวงกับแง่มุมที่ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหน ผ่านมุมมองของสมาชิกทีมหมูป่าทั้ง 13 คน ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix!