ESSENCE OF EXTRALEGANZA ชมไฮจิวเวลรี่คอลเลกชั่นใหม่ พร้อมเก็บตกทุกลุคของเหล่าเพียเจต์ โซไซตี้ จากงานนิทรรศการและกาล่าดินเนอร์ฉลองการเปิดตัว “Essence of Extraleganza”

เมซงเพียเจต์ (Piaget) เฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปี ด้วยการเผยโฉมคอลเลกชั่นไฮจิวเวลรี่ล่าสุด ในชื่อ “Essence of Extraleganza” โดยผลงานทั้งหมดถูกจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

โดยมี Global Ambassador อย่าง ‘อาโป-ณัฐวิญญ์’ และ ‘อีจุนโฮ’ บินลัดฟ้าร่วมชมนิทรรศการ อีกทั้งปรากฏตัวในงานกาล่าดินเนอร์ที่ถูกจัดขึ้น ณ Hotel de Maison เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวไฮจิวเวลรี่ ในโอกาสพิเศษของเมซงในปี 2024 อีกด้วย

อาโป เลือกสวมเครื่องประดับชั้นสูงอย่าง เข็มกลัดมังกร ที่โดดเด่นด้วยหินล้ำค่า 3 ชนิด อย่าง แซฟไฟร์สีเหลือง, สเปสซาร์ไทต์ และ สปิเนล แมชต์กับ เรือนเวลาไฮจิวเวลรี่ Aura เวอร์ชั่นล่าสุด ประดับทับทิม และเพชร หนึ่งในคีย์พีซที่เมซงเพิ่งประกาศเปิดตัวในงาน Watches and Wonders 2024 ที่ผ่านมา

อาโป
อีจุนโฮ

ขณะที่ อีจุนโฮ ปรากฏตัวพร้อมนาฬิกา Polo Emperador Skeleton และสไตลิ่งลุคให้น่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยต่างหู Treasures ที่นำมาประดับเป็นเข็มกลัดได้อย่างชาญฉลาด

Ella Richards
Rosamund Pike

ภายในงานยังเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติคนสำคัญของเมซง อาทิ Ella Richards ที่พ่วงตำแหน่งแบรนด์เฟซคนล่าสุด, Rosamund Pike นักแสดงหญิงมากฝีมือชาวอังกฤษ ทั้งยังเป็นหนึ่ง Friend of the Maison, นักแสดงสาว Ellie Bamber และ Yao Tong แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเพียเจต์ในประเทศจีน

Ellie Bamber
Yao Tong

สำหรับ “Essence of Extraleganza” ไฮจิวเวลรี่คอลเลกชั่นล่าสุดนี้ เมซงหยิบแรงบันดาลใจของชิ้นงานที่เรืองรองและสร้างจุดเปลี่ยนให้กับวงการนาฬิกาและจิวเวลรี่มากมายในยุค 1960 และ 1970 มาตีความให้เข้ากับยุคสมัยยิ่งขึ้น ทั้งยังสะท้อนค่านิยมหลักของแบรนด์และชวนเซอร์ไพรส์ในทุกมิติ กับ 3 ธีมหลัก อย่าง Extraleganza, Piaget Society และ When mastery ignites artistry และนี่คือผลงานชิ้นไฮไลต์จากนิทรรศการ “Essence of Extraleganza” ที่เรารวบมาให้ชม

EXTRALEGANZA

ชื่อของธีมนี้ เกิดจากการเล่นคำระหว่าง “Extravagance” และ “Elegance” รายละเอียดของชิ้นงานใน Extraleganza จึงเหมือนการสะท้อนจิตวิญญาณของเหล่าช่างฝีมือและนักอัญมณีศาสตร์ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสร้างสรรค์ ความขบถนอกกรอบ และรสนิยมอันล้ำสมัย

เครื่องประดับชั้นสูงเซตนี้ โดดเด่นด้วยเฉดสีร้อนแรงจากอัญมณีจำพวกคาร์เนเลียน, สเปสซาร์ไทต์, แซฟไฟร์สีเหลือง ที่เมซงนำมาร้อยเรียงสลับกับเพชรน้ำงามได้อย่างลงตัว ประกอบด้วยสร้อยคอ ตุ้มหู และแหวนเข้าเซต ไฮไลต์ที่น่าสนใจคือการนำคาร์เนเลียนเจียระไนทรงสี่เหลี่ยมคางหมูมาประดับบนสร้อยคอโรสโกลด์ในดีไซน์สายโซ่ ทั้งยังเสริมด้วยอัญมณีเม็ดกลาง อย่าง สเปสซาร์ไทต์ทรงหมอน ขนาด 21.23 กะรัต เป็นอีกชิ้นงานที่ไล่เฉดสีอัญมณีได้อย่างไร้ที่ติ

กำไลสไตล์ cuff ที่สามารถปรับให้เข้ากับลุคของผู้สวมใส่ได้อย่างไม่จำเจ รังสรรค์จากทองคำ, แซฟไฟร์สีชมพู และสเปสซาร์ไทต์ ชิ้นงานที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์และความชำนาญของช่างอัญมณีได้อย่างลงตัว โดยหยิบเอาอิทธิพลของกูตูร์มาเล่าเรื่องราวผ่านชิ้นงาน ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงที่พลิ้วไหว ไปจนถึงการออกแบบที่ไม่สมมาตรซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของเพียเจต์ ก็ถูกสอดแทรกไว้อย่างมีชั้นเชิง ดังที่ปรากฏให้เห็นผ่านสายรัดข้อมือแบบเมลานีสที่ออกแบบให้สามารถถอดออกหรือยึดเข้ากับโครงตาข่ายประดับเพชร ที่นอกจากจะโดดเด่นด้วยแซฟไฟร์สีชมพู ขนาด 4.42 กะรัต จากมาดากัสการ์ และสเปสซาร์ไทต์ ขนาด 6.40 กะรัต แล้ว รายละเอียดบนตัวเรือนยังตกแต่งด้วยเทคนิค Palace Décor อีกด้วย

Scarf Necklace สร้อยคอที่ได้แรงบันดาลใจมาจากผ้าพันคอ หนึ่งในผลงานสร้างชื่อตั้งแต่ปี 1984 ตัวเรือนทำจากไทเทเนียม และใช้อัญมณีมากถึง 1,500 เม็ดในการรังสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น แซฟไฟร์, สเปสซาร์ไทต์, ทัวร์มาลีน เพื่อนำเสนอความงดงามในเฉดสีรุ้งได้อย่างมีมิติและสมจริง มาพร้อมกำไล แหวน และตุ้มหูเข้าเซต นอกจากนี้เมซงยังนำเสนอจิตวิญญาณเดียวกันในเวอร์ชั่น bi-colour ประดับแซฟไฟร์สีน้ำเงินและเพชร

มรกตทรงกลม นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องหายากแล้ว เมซงยังท้าทายด้วยการเสาะหาเพื่อให้เฉดสีเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย ซึ่งหลังจากรวบรวมอัญมณีล้ำค่าทั้งหมดมาได้ เมซงทุ่มเทเวลาอีกกว่า 2 ปีในการค้นคว้าเพื่อหาหนทางในการนำเสนอและจัดองค์ประกอบอัญมณีแต่ละเม็ด ให้เปล่งประกายจากความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น มรกตทรงกลมและทรงบาแก็ตต์ รวมกว่า 30 กะรัต, เพชรบริลเลียนต์คัต ไปจนถึงทองคำที่ตกแต่งด้วยหัตถศิลป์ Palace Décor – สร้อยคอชิ้นนี้จึงเป็นหนึ่งในมาสเตอร์พีซที่การันตีถึงจิตวิญญาณของเหล่าช่างฝีมือได้เป็นอย่างดี แมตช์ลุคด้วยแหวน ตุ้มหูเข้าเซต พร้อมด้วยนาฬิกาไฮจิวเวลรี่ จากคอลเลกชั่น Altiplano ที่มาพร้อม ฟลายอิ้ง ตูร์บิญอง แบบบางพิเศษ

สีน้ำเงิน ถือเป็นเอกลักษณ์ของเพียเจต์ที่โดดเด่นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ โดยครั้งนี้เมซงเลือกนำเสนอผ่านสร้อยคอสไตล์ V-shaped ที่ออกแบบให้รับกับแซฟไฟร์สีน้ำเงินทรงไข่ขนาด 13.05 กะรัต จากมาดากัสการ์ได้อย่างไร้ที่ติ เสริมด้วยอัญมณีหลากชนิด อาทิ  โอปอล, เทอร์ควอยซ์, เพชร, แซฟไฟร์, ทัวร์มาลีน และอความารีนเจียระไนทรง มาร์คีส์ ที่เป็นซิกเนเจอร์คัตเลื่องชื่อของเมซง โดยไม่ลืมสอดแทรกรายละเอียดการแกะสลักบนเนื้อทองคำด้วยเทคนิค Palace Décor ลงบนชิ้นงาน มาพร้อมแหวน และตุ้มหูในสไตล์เดียวกัน

PIAGET SOCIETY

ธีมที่สองนี้เป็นการเฉลิมฉลองจิตวิญญาณที่หาญกล้าของเพียเจต์ และหัตถศิลป์ที่บ่มเพาะมาอย่างยาวนานจนสร้างสไตล์อันเป็นที่น่าจดจำและดึงเอาคาแรคเตอร์ของอัญมณีแต่ละชิ้นมานำเสนอได้แบบไม่ซ้ำใคร

ความสง่างามที่เต็มไปด้วยจินตนาการสุดล้ำของสร้อยคอโรสโกลด์เส้นนี้กำลังท้าทายสายตาทุกคู่ให้จับจ้อง ทั้งยังสื่อถึงมรดกของเมซงโดยตรง ด้วยการออกแบบที่นำเอาเส้นลวดทองคำมาบิดเกลียวอย่างพิถีพิถันด้วยมือ ก่อนขึ้นรูปเป็นทรงกลมและทรงรี ทำให้โครงสร้างของสร้อยคอลื่นไหลไปตามสรีระของผู้สวมใส่ ประดับด้วยแผ่นโอปอลขนาดใหญ่ และพื้นผิวที่เต็มไปด้วยประกายงามของเพชรที่เกิดจากการฝังอัญมณีแต่ละเม็ดด้วยเทคนิค Snow Setting มาพร้อมแหวน ตุ้มหู และนาฬิกาไฮจิวเวลรี่เข้าเซต

สายสร้อยเส้นยาวที่หยิบคู่สีคอนทราสต์ของเมซงมานำเสนอได้อย่างชวนค้นหา ตัวเรือนโรสโกลด์ประดับด้วยเทอร์ควอยซ์เจียระไนทรงหลังเบี้ยมากกว่า 1,300 ชิ้น ปลายทั้ง 2 ข้างประดับด้วยพู่ระย้าทำจากทองคำ เสริมด้วยเพชร และลูกปัดเทอร์ควอยซ์ มาพร้อมตุ้มหูเข้าเซต และ Cuff watch ที่สามารถปรับเปลี่ยนสไตล์เป็นนาฬิกา หรือ กำไลข้อมือได้ตามชอบใจ 

เพื่อสื่อถึงชิ้นงานสไตล์ค็อกเทลที่เมซงหยิบมานำเสนออยู่บ่อยครั้ง สร้อยคอชิ้นนี้จึงเป็นตัวแทนชั้นเลิศที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของเมซงได้อย่างเย้ายวน ตัวสร้อยดึงดูดสายตาด้วยลูกปัดเทอร์ควอยซ์ที่มาในขนาดแตกต่างกัน ก่อนร้อยเรียงเข้ากับทัวร์มาลีนสีเขียวเจียระไนทรง มาร์คีส์ และแผ่นทองคำทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนประดับด้วยเพชรบริลเลียนต์คัต ขณะที่อัญมณีเม็ดกลางเลือกเฉดสีเหลืองของแซฟไฟร์ศรีลังกาเจียระไนทรงลูกแพร์ ขนาด 16.83 กะรัต มานำเสนอ จับคู่กับแหวนโรสโกลด์ที่ผสานความเป็นธรรมชาติของไม้มะเกลือไว้ได้อย่างลงตัว ประดับด้วยทัวร์มาลีนเม็ดเขื่องขนาด 26.55 กะรัต และเพชร นอกจากนี้ ยังมีกำไลสไตล์ cuff ในดีไซน์เดียวกัน โดยมีกิมมิคอยู่ที่หลอดประดับเพชร ที่สามารถถอดออกมาเป็นเข็มกลัดได้อีกด้วย

WHEN MASTERY IGNITES ARTISTRY

มาถึงธีมสุดท้ายในคอลเลกชั่นไฮจิวเวลรี่  Essence of Extraleganza ชิ้นงานที่เป็นการผสมผสานระหว่างชั้นเชิงทางด้านฝีมือของเมซงและรสนิยมทางด้านกูตูร์ที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

กำไลสไตล์ cuff ที่ตัวเรือนถักทอด้วยเส้นลวดทองคำที่ถูกขึ้นรูปให้เป็นเกลียวด้วยมือ นอกจากความอุตสาหะที่สะท้อนอยู่บนชิ้นงานแล้ว เทคนิคที่ทำให้ทองแต่ละขดร้อยเรียงต่อกันแบบปราศจากรอยต่อหรือจุดเชื่อมโยง ราวกับลอยอยู่ในอากาศ ถือเป็นทักษะชั้นครูที่เหล่าช่างฝีมือของเมซงบ่มเพาะมาอย่างยาวนาน นำเสนอคู่กับแซฟไฟร์หลากหลายเฉดรวมกว่า 56 กะรัต มาพร้อมแหวนประดับแซฟไฟร์สีม่วง และตุ้มหูเข้าเซต

การขุดพบมรกตโคลัมเบียแล้วนำมาผ่านกระบวนการเจียระไนจนได้มรกตทรงบาแก็ตต์มากถึง 40 ชิ้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะธรรมชาติของมรกตมีรอยแตกร้าวง่าย หากไม่ชำนาญการอาจทำให้เสียเวลาเสาะหาวัตถุดิบใหม่ เมซงจึงพิถีพิถันหาวิธีนำเสนอเพื่อให้ผลงานที่ออกมาไม่ซ้ำใคร ทั้งยังชูสเน่ห์ของอัญมณีชนิดนั้นๆ ได้อย่างเจิดจริสที่สุด โดยครั้งนี้เมซงต่อยอดความสำเร็จด้วยการรังสรรค์เรือนเวลาไฮจิวเวลรี่ ประดับมรกตทรงบาแก็ตต์รวม 26.11 กะรัต และเพชรเจียระไนคัตเดียวกัน ซึ่งอัญมณีแต่ละชิ้นถูกยึดโยงอย่างประณีตด้วยเส้นเยลโลว์โกลด์ขดเกลียว ก่อนจัดวางองค์ประกอบให้ลดหลั่นอย่างมีมิติ มาพร้อมหน้าปัดอีนาเมลสีเขียว จับคู่กับแหวน และตุ้มหูเข้าเซตหรือเลือกคอนทราสต์กับแหวนประดับเพชรเกรด D ทรงลูกแพร์ขนาด 4.15 กะรัต ที่ล้อมรอบด้วยเพชรทรงบาแก็ตต์และเส้นเยลโลว์โกลด์ขดเกลียวในสไตล์ที่แปลกตาออกไป