เต็ดตรา แพ้ค เผยรายงาน “เทรนด์ดิพิเดีย” ประจำปี 2566 ชี้การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ผู้บริโภคในปีนี้
กรุงเทพฯ (21 มีนาคม 2566) – เต็ดตรา แพ้ค ผู้นำด้านโซลูชันการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำของโลก เปิดเผยรายงาน “เทรนด์ดิพิเดีย” ประจำปี 2566 ที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค
โดยในปีนี้ เต็ดตรา แพ้ค เน้นย้ำสี่เทรนด์หลักที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เทรนด์หลักที่ยังมีส่วนคล้ายคลึงกันกับปีที่ผ่านมา คือ In Control ซึ่งแสดงถึงความต้องการควบคุมปัจจัยต่างๆ ในด้านสุขภาพ โดยใช้อาหารและเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพให้เข้ามามีบทบาท และมีเทรนด์ที่แตกต่างไปอย่าง Flexi-shopping ที่ผู้คนใช้จ่ายเงินไปกับการเลือกซื้อของอย่างรู้คุณค่ามากยิ่งขึ้น Eatertainment ชุมชนออนไลน์ที่สนุกไปกับการสร้างสรรค์และนำเทรนด์อาหารใหม่ๆ และ Local Reclaimed การกลับเข้าหาผลิตภัณฑ์ที่คุ้นเคยและสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นไปพร้อมๆ กัน
ในช่วงปี 2566 เป็นปีที่มีสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งล้วนส่งผลถึงพฤติกรรมโดยรวมของผู้บริโภคทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบอาหารเพิ่มขึ้นสูง ความตระหนักและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ที่ส่งผลให้มีการค้นหาออนไลน์ของสินค้าที่ส่งเสริมความยั่งยืนเพิ่มสูงขึ้นถึง 71% ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการใช้เทคโนโลยีอย่างก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในแง่ของสุขภาพ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสิ่งที่เลือกซื้อมากขึ้น โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ราคา และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังเริ่มหันไปเลือกซื้อสินค้าและวัตถุดิบพื้นบ้านจากชุมชนมากยิ่งขึ้น ภาคอุตสาหกรรมจึงควรจัดหาสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค หรือสนับสนุนการใช้วัตถุดิบจากแหล่งชุมชนและเกษตรกรมากยิ่งขึ้น
เทรนด์หลักในปีนี้ ที่ยังมีความสอดคล้องกันกับเทรนด์ในปี 2565 อันดับแรก ได้แก่ เทรนด์ In Control ซึ่งผู้บริโภค ยังคงต้องการควบคุมสุขภาพของตนเอง แต่ในปีนี้ เป็นการควบคุมในรูปแบบของอาหารหรืออาหารเสริมที่ผู้บริโภคเลือกรับประทาน และใช้เทคโนโลยีตรวจวัดสุขภาพ ที่ผลักดันให้เลือกคุณค่าอาหารที่เหมาะกับแต่ละบุคคลมากขึ้น
“เทรนด์ In Control สะท้อนถึงการที่ผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารเพื่อเป็นการเลือกสรรและควบคุมสิ่งต่างๆ ในชีวิตมากขึ้น ผู้บริโภคจะเลือกจับคู่อาหารหรืออาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และเหมาะสมกับความต้องการทางสุขภาพส่วนบุคคล ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์หรือช่วงอายุต่างๆ ของชีวิต อีกทั้ง ผู้บริโภคยังใช้โซลูชันเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ในการสังเกตและคาดการณ์สุขภาพโดยรวมของตน ทำให้ยิ่งมีความรอบคอบในสิ่งที่บริโภคมากขึ้น แบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม จึงควรสื่อสารกับผู้บริโภคถึงคุณค่าและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ลงบนกล่องบรรจุภัณฑ์อย่างชัดเจนและเรียบง่าย หรือหากมีคิวอาร์โค้ดที่ช่วยตรวจข้อมูลทางโภชนาการ ก็จะยิ่งเป็นการสร้างความรู้สึกแห่งการเลือกสรรและควบคุมได้ต่อลูกค้ามากยิ่งขึ้น” คุณสุทธินันท์ เตชะทยานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
เทรนด์หลักที่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับที่สอง คือเทรนด์ Flexi-Shopping อิสรภาพในการเลือกชอปที่ยืดหยุ่นมากขึ้นตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้คนเลือกซื้ออาหารอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงราคาและคุณค่าที่เหมาะกับตนเองอย่างสูงสุด “ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้บริโภคยังคงคาดหวังผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีในราคาที่เหมาะสม ดังนั้นแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่เสนอคุณค่าสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับราคา จะมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้กังวลด้านค่าใช้จ่ายก็ให้ความสำคัญกับราคาเช่นเดียวกัน โดยพวกเขาจะซื้อสินค้าที่มีราคาเข้าถึงได้และในบางคราวอาจซื้อสินค้าที่มีคุณภาพและราคาสูงขึ้นสลับกันไปเพื่อเป็นการให้รางวัลแก่ตนเอง” คุณสุทธินันท์กล่าวเสริม
เทรนด์หลักลำดับที่สาม คือ Eatertainment ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน สังคมหรือชุมชนออนไลน์ ที่นำโดยครีเอเตอร์ในแพลตฟอร์มต่างๆ ได้เข้ามามีบทบาทในด้านการสร้างสรรค์ หรือนำเทรนด์เมนูอาหารใหม่ๆ เป็นอย่างมาก ทำให้การทำอาหารทานเองหรือเลือกซื้ออาหาร กลายเป็นเรื่องที่สนุกและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้บริโภค
“ตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์เป็นต้นมา สังคมออนไลน์กลายเป็นที่ที่ยึดโยงผู้คนที่มีความหลงใหลในสิ่งเดียวกันให้เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์กัน โดยเฉพาะในเรื่องของอาหาร” คุณสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “ผู้บริโภคได้เข้ามาแบ่งปันหรือค้นหาแรงบันดาลใจในการทำอาหาร ทำให้การทำอาหารกลายเป็นเรื่องสนุกและทำได้ง่ายโดยแทบไม่ต้องพึ่งเชฟ แบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม อาจจะลองใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่ปรุงได้ที่บ้านพร้อมวิธีการทำอาหารแบบทีละขั้นตอนเพื่อเป็นการเน้นย้ำเทรนด์ทำอาหารในบ้าน”
เทรนด์สุดท้าย “Local Reclaimed” เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจท้องถิ่นมากขึ้น เครือข่ายระหว่างชุมชนจึงแน่นแฟ้นมากกว่าที่เคย แบรนด์ที่ส่งผลดีต่อชุมชนท้องถิ่นจะกลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นขึ้น “จากสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคได้เห็นผลกระทบที่ชุมชนของตนได้รับ และตั้งใจอุดหนุนแบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้น ผู้บริโภคหลายคนรู้สึกโหยหาอดีต และมองหาความสบายใจจากวันวาน รสชาติแบบดั้งเดิมที่คุ้นเคยเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกถึงความสุขในวัยเยาว์ได้อีกครั้ง ดังนั้น แบรนด์ที่เน้นวัตถุดิบที่เลือกสรรมาจากชุมชนท้องถิ่น ก็จะสามารถตอบโจทย์เทรนด์นี้ได้” คุณสุภนัฐ กล่าวปิดท้าย
รายงาน ‘เทรนด์ดิพิเดีย’ ของเต็ดตรา แพ้ค ได้ระบุถึงเทรนด์หลัก 10 เรื่องสำหรับปี 2566 นี้ ได้แก่ เคล็ดลับเพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น (Life Hacks) อิสรภาพในการเลือกชอป (Flexi-shopping) ชีวิตที่ควบคุมได้ (In Control) พักเพื่อเติมเต็มและซ่อมแซม (Replenish and Repair) แนวคิดเพื่อสภาพอากาศ (Climatarianism) ความชัดเจนสีเขียว (Green Clarity) เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง (Un-masking Identities) มุ่งสนับสนุนท้องถิ่น (Local Reclaimed) ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด (Evolving Spaces) และทุกมื้อคือความสนุก (Eatertainment)
เต็ดตรา แพ้ค นำเสนอรายงานเทรนด์การเปลี่ยนแปลงผู้บริโภค เทรนด์ดิพิเดีย ประจำปี 2566 ให้กับลูกค้าของเรา เพื่อให้มีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง
เกี่ยวกับเต็ดตรา แพ้ค
เต็ดตรา แพ้ค คือผู้นำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์และกระบวนการผลิตอาหารชั้นนำของโลก โดยทำงานร่วมกับลูกค้าและซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิด เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้คนนับพันล้านในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก ด้วยจำนวนพนักงานมากกว่า 25,000 คนซึ่งมีฐานการดำเนินงานทั่วโลก เราเชื่อในความรับผิดชอบของเราในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมและการมอบความยั่งยืนแก่ธุรกิจนี้ ปรัชญาการทำงานของเราคือปกป้อง ทุกคุณค่า™ หรือ “PROTECTS WHAT’S GOOD™” ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเราในการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและซื้อหาได้ในทุกที่
ข้อมูลเกี่ยวกับ เต็ดตรา แพ้ค กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.tetrapak.com/th