เริ่มแล้ว! สมัชชาสุขภาพฯ ครั้งที่ 18 ‘โสภณ ซารัมย์’ เปิด 4 ความท้าทาย สร้างโอกาสการพัฒนาประเทศไทย

เปิดฉากสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ประจำปี 2568 อย่างยิ่งใหญ่ “รองนายกฯ โสภณ ซารัมย์” ปาฐกถาพิเศษสร้างความเชื่อมั่น! ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาสในการพัฒนา แต่ต้องพร้อมรับมือความท้าทาย 4 ด้าน “สร้างสมดุลการพัฒนา-จัดทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ-รับมือวิกฤตการณ์-ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ลุยขับเคลื่อน 5 ประเด็นนโยบายสาธารณะให้บรรลุผล ลั่นรัฐบาลพร้อมประสานพลังทุกภาคส่วนเปลี่ยนความท้าทายเป็น “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาค” หลอมรวมสุขภาพ-เศรษฐกิจ ผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างสังคมที่เป็นธรรม

การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายยุทธศาสตร์จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ภายใต้ประเด็นหลัก “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” (New Wealth for Health) เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการในวันแรก โดยมี นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีสมาชิกสมัชชาสุขภาพฯ ประชาชน เยาวชนคนรุ่นใหม่ เข้าร่วมผ่านทางระบบ online และ on-site อย่างเนืองแน่นหลายพันคน

สำหรับกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เป็นกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ ที่ พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ให้การรับรอง และให้จัดขึ้นอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยในปี 2568 มีระเบียบวาระที่จะมีการพิจารณาในงาน 5 ระเบียบวาระ ได้แก่ ๑.การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย ๒.ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ ๓.การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ๔.ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต ๕.กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่

ในพิธีเปิดงานฯ นายโสภณ ซารัมย์ ได้ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “เศรษฐกิจเพื่อสุขภาพไทย จะพัฒนาอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ: โอกาสและความท้าทายใหม่” โดยสาระสำคัญระบุถึงประโยชน์ของสมัชชาสุขภาพฯ ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการการมีส่วนร่วม และช่วยพัฒนาคนให้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบสังคม ผ่านการจัดทำนโยบายสาธารณะ พร้อมกับชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจกับสุขภาพ เพราะเมื่อประชาชนมีสุขภาพดีก็จะมีผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศควบคู่กันไปด้วย

นายโสภณ กล่าวว่า ประเด็นทางสุขภาพถือเป็นเงื่อนไขนำต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และยังถือเป็นผลลัพธ์ที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ฉะนั้นหากมีการจัดการที่ดีในเรื่องของปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพในกลุ่มประชากรต่าง ๆ โดยเฉพาะประชากรที่ยากจนและเปราะบาง ย่อมทำให้เกิดสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นธรรม มีสภาพเศรษฐกิจที่พัฒนาและเป็นสังคมที่มีสุขภาวะได้

สำหรับระเบียบวาระทั้ง 5 ประเด็น ที่จะพิจารณาในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 เป็นเรื่องที่ทันสมัยและมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่กำลังให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ ผลกระทบจากการค้าระหว่างประเทศ สังคม ภัยธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ จึงถือเป็นโอกาสที่ทุกคนจะร่วมกันผลักดันนโยบายสาธารณะ และร่วมกันขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติอย่างเป็นองคาพยพ ตามทิศทางเข็มมุ่งของรัฐบาลต่อไป

นายโสภณ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมีฐานทุนที่ดี มีศักยภาพ และโอกาสในการพัฒนา ตลอดจนรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยโอกาสนั้น ยังมี ความท้าทายอย่างน้อย 4 ประการ ที่ทุกฝ่ายต้องเท่าทันและพร้อมรับมือเพื่อขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพฯ ทั้ง 5 ประเด็นให้บรรลุผล ประกอบด้วย

  1. การพัฒนาที่สมดุล คือจะทำอย่างไรให้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและสุขภาพพัฒนาควบคู่กันไปได้อย่างสมดุล การพัฒนาเศรษฐกิจต้องคำนึงถึงเรื่องสุขภาพ และไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อระบบสุขภาพ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจที่ดีจะนำไปสู่สุขภาพของคน และระบบสุขภาพของไทยที่ดีได้อย่างไร ตัวอย่างประเด็นนี้ ส่วนตัวมองว่าผู้สูงอายุของเราต้องแข็งแรง มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ มีรายได้ และขณะเดียวกันก็ต้องสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ด้วย
  2. การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยให้เกิดสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดได้อย่างคุ้มค่า และสามารถลดผลกระทบต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมที่จะมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในประเทศด้วย โดยปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานสะอาด และผลักดันสู่สังคมคาร์บอนต่ำ กำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2050 ส่วนในงานสมัชชาสุขภาพฯ ครั้งนี้ ได้เน้นเรื่องความเป็นธรรมในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน นั่นก็คือจะทำอย่างไรให้ประชาชนในประเทศทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งทั้งรัฐบาลและเอกชนต้องร่วมมือกันดำเนินการ
  3. การเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์หรือวิกฤตต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะมากระทบต่อเรื่องของเศรษฐกิจและสุขภาพของประเทศไทย เช่น สถานการณ์โรคระบาด ภัยธรรมชาติ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะสังคมที่เปลี่ยนแปลงสู่สังคมเมือง พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป ตลอดจนเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งนี้ต้องสามารถจัดการกับปัจจัยที่มากำหนดสุขภาพ หรือ Determinants of health ให้เป็นระบบมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ปัญหายาเสพติด ซึ่งถือเป็น Quick Big Win ของรัฐบาล ที่จะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง โดยรวมพลัง รักศรัทธา แก้ปัญหาเสพติดแบบบูรณาการ เพื่อให้ยาเสพติดหมดไปจากผืนแผ่นดินไทย โดยจะขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว สู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ ให้สังคมและประเทศชาติปลอดภัย เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชนทั้งแผ่นดิน โดยล่าสุดได้ปักธงนำร่องที่ จ.บุรีรัมย์ ก่อนจะขยายไปในภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัดต่อไป รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นประตูหรือ Gateway สู่การติดบุหรี่ธรรมดาและยาเสพติดชนิดอื่นๆ ด้วย
  4. การพัฒนาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเฉพาะ กลุ่มเปราะบาง ผู้ไร้รัฐไร้สัญชาติ และแรงงานนอกระบบ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นธรรมด้านสุขภาพในทุกมิติให้แก่คนเหล่านี้ ทั้งมิติสุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพปัญญา และสุขภาพสังคม รวมถึงด้านเศรษฐกิจ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาได้อย่างยั่งยืนของประเทศตามเป้าหมาย SDGs

“รัฐบาลพร้อมประสานพลังกับทุกภาคส่วนเพื่อเปลี่ยนความท้าทายเหล่านี้ให้เป็นความหวัง โอกาส และความเสมอภาคของคนทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเราต้องร่วมมือกัน เพราะความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่ายที่ไม่ใช่เพียงภาครัฐเพียงอย่างเดียว จึงจะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้อย่างยั่งยืน และกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติก็เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนของสังคมสามารถเข้ามาช่วยกันคิด เพื่อทำให้เกิดนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพที่โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ร่วมกัน” นายโสภณ กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีพิธีการมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติให้กับหน่วยงาน องค์กร เครือข่าย ที่ได้ขับเคลื่อนงานนโยบายสาธารณะ แบ่งออกเป็น โล่รางวัลเชิดชูเกียรติสนับสนุนการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นการปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 5 รางวัล และ โล่รางวัลเชิดชูเกียรติการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา พ.ศ. 2568 จำนวน 6 รางวัล และใบประกาศเกียรติคุณ จำนวน 12 กลุ่มเครือข่ายที่ขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพฯ รวมถึงการมอบรางวัลประกวดคลิปวิดีโอและ TitTok งานธรรมนูญสถานศึกษา ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา

ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 17-18 กล่าวว่า ปัจจุบันกระบวนการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ถูกพัฒนาให้มีความรวดเร็ว ทันสมัย และตอบโจทย์สถานการณ์ปัญหาทุกมิติมากขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ที่จะมีการพิจารณาระเบียบวาระถึง 5 มติด้วยกัน เนื่องจากสถานการณ์ความซับซ้อนที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับมิติหลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมือง ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้นโยบายที่ถูกคิดจากบนลงล่างนั้นไม่เพียงพอ และจำเป็นจะต้องมีเวทีที่ดึงส่วนร่วมจากข้างล่างมาร่วมกำหนดโจทย์ แนวทาง และกำหนดนโยบายระดับชาติร่วมกัน

สำหรับหัวใจของเวทีสมัชชาสุขภาพ นอกจากผลลัพธ์คือการได้มาซึ่งมติหรือข้อเสนอแล้ว ยังอยู่ที่กระบวนการที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียถูกนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างจริงจัง หรือในอีกนัยยะหนึ่งก็คือกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ที่จะเข้าไปเสริมหนุนกับระบบประชาธิปไตยแบบผู้แทนด้วย

ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่ากระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ หรือที่เรียกกันว่าขาขึ้น มีด้วยกัน 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

1.   การค้นหาประเด็น ซึ่งจะมีการเปิดรับประเด็นจากภาคีเครือข่ายและกลไกที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการศึกษาค้นประเด็นโดย สช. และค้นหาประเด็นจากงานวิจัยร่วมกับหน่วยงานวิจัยต่างๆ

2.   การกำหนดประเด็นและจัดทำวาระนโยบาย ผ่านการรับฟังความคิดเห็นในทุกระดับ

3.   คือการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณาและแสวงหาฉันทมติต่อนโยบายสาธารณะนั้นๆ ซึ่งในปี 2568 มีด้วยกัน 5 ประเด็นระเบียบวาระ

ทั้งนี้ ระเบียบวาระทั้ง 5 ประเด็น หากได้รับฉันทมติจากที่ประชุมแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เพื่อพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้เป็นกรอบหรือทิศทางหลัก ตลอดจนการขับเคลื่อนงานตามนโยบายสาธารณะนั้นๆ ภายใต้หน้าที่และอำนาจต่อไป